A Little Journey / นิยาย / พัณณิดา ภูมิวัฒน์ / พิมพ์ดีด / ลวิตร์ / แฟนตาซี

A Little Journey : Telltale Island (4)

fire-846152_960_720

-4-

หลังจากนั้น ด้วยเหตุผลบางอย่าง ‘การผจญภัยค้นหาแก่นให้เจอ’ จึงกลายเป็นการสร้างบ้านแปงเมือง

รีกัลเริ่มด้วยการหาจุดที่มีผลไม้กินได้ จากนั้นเขาก็เดินตามรอยจนกระทั่งพบสัตว์ประหลาดยักษ์ดุร้าย…มันหน้าตาเหมือนที่พวกเธอคิดเมื่อคืนจริงๆ ด้วย ทั้งดุร้ายน่ากลัว ทั้งตัวใหญ่ แต่ในเมื่อเขาเป็นคนใส่รายละเอียด เขาจึงรู้หมดสิ้นว่ามันมีจุดอ่อนอะไร หลังจาก ‘เจรจา’ กับมันไม่นาน เธอก็เห็นว่าเขาสามารถพามันไปปราบลานกว้างใกล้แม่น้ำ ตรงนั้นเป็นลานธรรมชาติอยู่แล้ว มีต้นไม้ไม่มากนัก ส่วนใหญ่จึงเป็นการกำจัดตอไม้ ก้อนหินใหญ่ๆ และต้นไม้ที่แห้งตาย โดยมีเธอกับชนเผ่าดุร้ายนั่งแทะผลไม้ดู

“ถางที่สร้างหมู่บ้าน…อาจจะปลูกอะไรนิดหน่อยด้วย” เขาตอบตอนที่เธอถามว่าทำอะไร “ตรงนี้ดีที่สุด ข้าไม่ชอบให้โค่นต้นไม้มากเกินจำเป็น”

แน่นอน เขาย่อมสามารถอธิบายเป็นหลักการได้ว่ามันไม่ดีกับธรรมชาติอย่างไร แต่เธอสงสัยว่าที่เขาไม่อยากทำอย่างนั้น ส่วนหนึ่งคงเพราะตอนนี้หัวใจของเขาเองทำจากธาตุของดินและต้นไม้ เขาก็คงมีความรู้สึกอ่อนไหวนิดหน่อยกับธรรมชาติเหมือนกัน

“เผ่ามีคนไม่มาก ยังไม่ต้องเพาะปลูกมากก็ได้ ควรเก็บของป่า หาปลา” เขาคิดวางระบบต่อไป “อ้อ น่าจะผูกมิตรกับสัตว์ประหลาดเอาไว้ มันจะมีประโยชน์มากเวลาใช้แรงงาน ดุร้ายทั้งคู่คงคุยกันรู้เรื่องดี”

“แน่ใจหรือ” เธอไม่แน่ใจ

รีกัลมองไป สัตว์ประหลาดยักษ์ตัวหนึ่งกำลังเดินเข้าใกล้พวกชนเผ่า มันแยกเขี้ยวโฮกดุร้าย พวกชนเผ่าจึงแยกเขี้ยวโฮกดุร้ายตอบเช่นกัน โฮกไปมาอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็เหมือนจะคุยกันได้ หลังจากนั้นยังอุตส่าห์มีสัตว์ประหลาดสองสามตัวไปช่วยชนเผ่าของเธอย้ายบ้านด้วย พวกมันมีประโยชน์มากจริงๆ แค่ตัวเดียวก็ขนของได้มากกว่าคนห้าหกคนรวมกัน

หลังจากย้ายของมาได้ส่วนหนึ่งก็จวนเย็นค่ำแล้ว ชนเผ่าที่มีของกินเหลือเฟือเป็นครั้งแรกในชีวิตจึงตัดสินใจกันว่าจะเลี้ยงฉลองขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้พวกตนมีข้าวกินจนได้ เนื่องจากพวกเขาเป็นเผ่ากินคน ตามธรรมเนียมดั้งเดิม หากยังจับคนนอกเผ่ามาปิ้งกินไม่ได้ ก็ต้องมีการจับสลากเลือกคนที่จะมาพลีกาย พอคนที่จับสลากได้เดินมาแสดงความน่ากินของเขาให้เธอดู เธอจึงรีบบอกทุกคนว่าตัวเองกินคนไม่ได้ และอยากให้ทุกคนกินปลาแทน

“ปลาอร่อยกว่าตั้งเยอะ” เธอออกความเห็น

พวกชนเผ่าพึมพำกันหึ่งๆ ทุกคนไม่ได้พูดภาษาเดียวกับเธอ แต่ไม่รู้ทำไมถึงเข้าใจกันได้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงโน้มน้าวต่ออย่างสุดความสามารถ บอกว่าถึงตอนนี้จะยังจับได้แต่ปลาตัวเล็กๆ ในแม่น้ำ แต่ถ้าต่อไปได้ออกทะเลละก็จะจับปลาตัวใหญ่ได้ ตัวใหญ่มากๆ และมันย่องอร่อยมากๆ ด้วย แค่เอาไปปิ้งก็จะมีน้ำมันหยดติ๋งๆ หนังกรอบเนื้อแน่น ขนาดกินดิบยังอร่อยจนไม่รู้จะพูดยังไง แถมยังมีปูกับกุ้งเนื้อหวาน หอยลื่นๆ ที่พาบีบมะนาวใส่ ตอนไหลลงคอจะให้ความรู้สึกเยี่ยมมาก แล้วก็ปลาหมึกเนื้อเหนียวหนึบที่ถ้าทำดีๆ จะนุ่มละเมียดละไม

หลังจากบรรยายความอร่อยของอาหารทะเลไปจนชาวบ้านน้ำลายไหล เธอก็วกกลับมาน้ำขุ่นๆ ว่าถ้าเอาแต่กินคนละก็จะต้องกินคนตลอดไป แต่ถ้าเปลี่ยนธรรมเนียมเสียแต่ตอนนี้ พอถึงตอนที่จับสัตว์ทะเลได้เยอะๆ ก็จะได้เปลี่ยนอย่างสบายใจ ส่วนปลาแม่น้ำนี่ก็ทำได้อร่อยเหมือนกันนะ เธอมีสูตรของแม่อยู่ เธอจะบอกให้ รับรองว่าต้องอร่อยจริงๆ

พอถึงตอนนี้ รีกัลก็ขัดเธอขึ้นเบาๆ

“ข้าว่าปิ้งเฉยๆ ไปก่อนดีกว่า สูตรของแม่เจ้า…ออกจะมีเอกลักษณ์มากเกินไป”

“ทำไมล่ะ” เธอไม่เข้าใจ ก่อนจะนึกได้…ว่าไปแล้ว พ่อก็เหมือนจะกินอาหารของแม่กับเธอแล้วดูไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน

“ปิ้งเฉยๆ ก่อนก็ได้” เธอยอมในที่สุด “แต่เอาไว้เขากินกันเป็นแล้ว ค่อยใช้สูตรของแม่ข้านะ”

รีกัลไม่ตอบคำนั้น เพียงแต่เดินเข้าไปหาพวกชนเผ่า สอนพวกเขาทำปลา ทั้งที่เพิ่งเรียนจากเธอเมื่อวานแท้ๆ แต่ตอนนี้ก็คล่องแคล่วใช้ได้ทีเดียว

เนื่องจากถูกสั่งไม่ให้ทำกับข้าว เธอจึงว่าง ไม่มีอะไรทำหนักนักก็ไปดูพวกผู้หญิงชนเผ่าขนย้ายเครื่องมือทอผ้าและด้าย เอาเข้าจริง เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนเผ่านี้หาวัตถุดิบมาทอผ้าได้อย่างไร แต่บางทีคงเพราะเธอชอบผ้า ตอนแต่งเรื่องขึ้นมา ในหัวจึงคิดเรื่องเครื่องแต่งกายของเผ่าและเรื่องผ้าไว้อย่างชัดเจน

ผ้าลายแปลกหน่อย มีลวดลายเรขาคณิตแบบชนเผ่า สีค่อนข้างสดใส นอกจากผ้าที่กำลังทออยู่แล้ว ก็มีเศษเหลือตัดจากการเก็บชายผ้าที่พวกผู้หญิงเก็บไว้ เธอจึงขอส่วนหนึ่งมาทำตุ๊กตาเศษผ้าง่ายๆ หลังจากทำให้เด็กหลายคนแล้ว รีกัลก็มานั่งดู เธอจึงถักเศษด้ายทำเป็นกำไลสวมให้เขาด้วย

“สวยไหม” เธอถามหลังจากผูกให้แล้ว และเขากำลังยกขึ้นดู

“อืม” เขารับ “เจ้าชอบผ้าหรือ”

“ข้าชอบผ้าสีๆ ที่สุด แต่ไม่ชอบใส่เอง ข้าคล้ายๆ แม่ ถ้าไม่ใส่สีเข้มสีดำจะไม่ค่อยมั่นใจ” เธอบอก “แต่ถึงอย่างไรก็ชอบสีๆ อยู่ดี”

“อย่างนั้นหรือ”

“ใช่ แม่ชอบบอกว่าข้าตัดเสื้อมีสีมากเกินไป แม่ดูแล้วตาลายรู้สึกไม่ค่อยน่ารักเลย แต่ข้าชอบแบบนี้ ใครจะทำไม ข้าคิดว่าเสื้อของแม่ต่างหากที่หรูเกินไป แถมยังมีลูกไม้มากเกินไป”

รีกัลไม่พูดอะไร หลังจากนั้นพวกชนเผ่าก็ตั้งเสาหลักหมู่บ้าน เธอจึงถูกทุกคนดึงมือออกไป บอกว่าเธอเป็นคนที่ทำให้พวกเขาได้ย้าย จึงต้องเป็นคนที่วาดลวดลายบนเสาด้วย เธอฟังแล้วก็พอใจมาก เลยงัดกล่องสีประจำตัวออกมา วาดลวดลายแยกเขี้ยวดุร้ายสีสดเยอะแยะ ดูแล้วน่าสยดสยองมาก พวกชนเผ่าพอใจกันมากทีเดียว

วาดเสร็จก็ค่ำแล้ว จึงมีคนก่อกองไฟใหญ่ ปิ้งปลาที่จับมาได้มากพอสมควร และแบ่งกันกินผลไม้ มีคนขนเหล้ามาด้วย แม้เธอจะสงสัยว่าเขาไม่มีข้าวกินแท้ๆ แล้วเอาเหล้ามาจากไหน แต่นี่ก็คงเป็น ‘จุดบอด’ อีกจุดในเรื่องที่เธอยังจินตนาการได้ไม่ดีเท่าไรกระมัง

เธอดื่มนิดหน่อย พอถึงถ้วยที่สี่ รีกัลก็เอื้อมมือมาแย่ง เขาแย่งเธอตลอด ยัดให้กินแต่ปลากับผลไม้ ทีแรกเธอหงุดหงิดนิดหน่อย อยู่บ้านเธอก็แทบไม่ได้กินเหล้าเหมือนกันนะ ทำไมออกมาแล้วถึงไม่ได้กินด้วยล่ะ

“ไว้หัดให้ดีกว่านี้ก่อน ค่อยดื่มมากๆ” รีกัลบอก

“หัดหรือ”

“อืม…ถ้าเข้าร่วมราชพิธี ต้องหัดดื่มดีๆ อย่าให้เมา หรือแม้เมาก็ต้องควบคุมไม่ให้เมาอาละวาด”

“แล้วข้าจะไปร่วมราชพิธีที่ไหน” เธอไม่เข้าใจ แน่นอนว่ารีกัลไม่ยอมตอบ เอาแต่กรอกเหล้าซึ่งคนอื่นส่งให้เธอเข้าปากตัวเอง เธอดูนานๆ ก็หมั่นไส้ เลยแกล้งปล่อยให้เขากินคนเดียวเสียอีกเป็นไห แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนรีกัลจะ ‘หัดดื่ม’ มาดีแล้วจริงๆ กินเท่าไรก็ไม่แสดงท่าทีว่าเมาเลย

ดื่มเหล้าเต้นรำจนดึกดื่นแล้ว คนในเผ่าส่วนใหญ่จึงแยกย้ายกันไปนอนตามกระโจมที่ตั้งขึ้นชั่วคราว คนที่เมาน้อยต่างลากคนที่เมามากจากไป พอถึงตอนนี้ รีกัลก็เดินออกจากเขตกองไฟ ผ่านไปสองสามนาทีจึงกลับมาพร้อมไต้ เขาจุดไต้ ก่อนจะส่งมือให้เธอ

“ไปกัน”

“ไปไหน” เธองง

“ไม่ว่าจะใช่โลกในใจหรือเปล่า แต่เขตเวทมนตร์จะต้องมีจุดศูนย์กลาง เราควรไปยังจุดศูนย์กลาง จะได้รู้ว่าที่แท้ที่นี่คืออะไร” เขาชะงักนิดหนึ่ง คงเห็นเธอเผลอทำหน้าเสียดาย “วาล…จะติดอยู่ที่ไหนโดยไม่รู้อะไรไม่ได้หรอกนะ ถ้ารู้บ้างแล้วว่าดีหรือร้าย ค่อยว่ากันอีกที”

“แต่ท่านก็ไม่ได้คิดว่าร้ายหรอกใช่ไหม ปล่อยให้ข้าอยู่ตั้งนาน” เธอถาม จับมือเขาไว้

“ไม่น่าร้าย ที่นี่…อืม…เหมือนเจ้ามากเกินไป” เขาบอก

“หือ” เธอฟังไม่ถนัด

“ไม่มีอะไร” เขาบอก “ไปเถอะ ถ้าตามเรื่องของเรา จุดศูนย์กลางคงอยู่ที่ภูเขาลูกนั้น อาจจะต้องผ่านเขาวงกตกับกับดักก็ได้”

แต่สุดท้ายพอเดินจริงๆ เธอก็เป็นคนที่นำไปอยู่ดี เธอคือคนที่มีสายเลือดมนตร์ดำ เป็นมิตรกับความมืดและราตรี

เธอเป็นคนพบปากถ้ำแห่งนั้น มันอยู่บริเวณเชิงเขา ห่างจากตรงที่ตั้งค่ายไปพอสมควร

ปากโพรงไม่ใหญ่มาก ทว่าก็พอให้คนเดินผ่านเข้าออกได้ พอเข้าไปแล้วถ้ำจะแคบอึดอัดอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะเปิดเป็นทางเดินค่อนข้างกว้าง พื้นขรุขระไม่สม่ำเสมอ พอต้องปีนขึ้นปีนลงหลายรอบ เธอจึงบอกให้รีกัลดับไฟ เอาไต้ขัดหลังไว้ แล้วเธอก็ใช้เวทมนตร์

“สะดวกดีนะ” รีกัลบอกตอนเห็นเธอแบมือจุดดวงสว่างแล้วปล่อยออกไป

ดวงไฟเวทมนตร์สาดแสงสีเหลืองอุ่นๆ เป็นวงรัศมีพอให้เห็นทางข้างหน้าได้ เธอกับรีกัลเดินเคียงกัน ทีแรกไม่มีอะไร เขายังชวนเธอคุยด้วยซ้ำ ถามนั่นนี่ พูดถึงเรื่องชนเผ่าดุร้าย แต่พอผ่านไประยะหนึ่ง เจ้าชายกลับค่อยๆ เงียบลง ทีแรกเธอยังไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่อยากรู้ว่าทางจะนำไปไหน ทว่าเมื่อบทสนทนาขาดห้วงนานเข้า แถมอีกฝ่ายยังดูเหมือนจะเครียดแปลกๆ เธอจึงเริ่มเอะใจ

“มีอะไรหรือเปล่า”

“หือ ไม่…” เจ้าชายขยับจะพูดต่อ แต่แล้วเขากลับชะงัก

เธอก็ชะงักเช่นกัน พวกเธอเดินมาได้ลึกมากแล้ว และบัดนี้ที่ด้านหน้า…ถัดจากรัศมีของดวงไฟไป ก็ปรากฏแสงเรืองๆ ขึ้นตรงมุมเลี้ยว เป็นแสงสีต่างๆ ดูเลือนๆ ฟุ้งกระจาย คล้ายกับหมอกที่มีแสงส่องผ่านออกมา

เธอจำความรู้สึกนั้นได้…เหมือนตอนเล่าเรื่องเล่นกัน และจู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกอะไรเลือนๆ ปกคลุมไว้ มันเป็นหมอกอย่างนี้ แสงอย่างนี้ด้วย พอรู้สึกไม่แน่ใจ เธอจึงเอื้อมมือไปจับมือของรีกัล

แต่เขาสะบัดมือหนีทันที

เธอตกใจมาก ก่อนจะเห็นว่าเขาเองก็ตกใจ…ชั่ววินาทีเท่านั้น ก่อนจะนิ่งลงได้ เขากำมือทิ้งกลับลงข้างตัว พึมพำขอโทษเบาๆ บอกว่าไม่มีอะไร แต่เธอไม่ยอมเชื่อเขาแล้ว เธอรู้ว่าต้องมี

“ท่านเป็นอะไรกันแน่”

“ไม่มีอะไร หลักฐานยังไม่…”

แต่เธอไม่หยุดแค่นี้หรอก เพราะกิริยาของเขาไปกระตุ้นความทรงจำ…อย่างช่วยไม่ได้ เมื่อแรกที่รู้จักกัน เขาอยู่ในสภาพแย่มาก แทบจะถึงตาย  แต่เวลาอยู่กับเธอ หรือเวลาเขียนจดหมายหาท่านพ่อ เขาจะทำเหมือนไม่มีอะไรร้ายแรงตลอดเวลา

และเพราะเขาเป็นคนทำเฉยชาเก่ง คนจึงเชื่อ…พากันคิดจริงๆ ว่าไม่มีอะไร เธอก็เคยเผลอเชื่อเช่นกัน ก่อนจะพบว่าเขาไม่ใช่คนซื่อสักนิด หลอกคนเป็น เล่นละครได้ เขาเป็นพวกคิดว่าบางทีศีลธรรมจรรยาก็ไร้เหตุผล ตรรกะกับผลลัพธ์ต่างหากที่มีความหมาย

พอนึกอย่างนี้ ในจังหวะที่เขายังไม่ทันตั้งตัว เธอก็เร่งคว้ามืออีกฝ่ายมาดู

รีกัลอุทาน ทำท่าจะดึงมือกลับไป แต่เธอเห็นแล้ว…เห็นจริงๆ กลางแสงของดวงไฟ  มีบางอย่างติดอยู่ที่ปลายนิ้วของมือข้างนั้น เป็นรอยเขียวคล้ายกับรา หรือไม่ก็ตะไคร่  มีคนเดียวเท่านั้นที่เธอเคยเห็นตะไคร่จับผิวอย่างนี้…

“วาล” เขาตกใจที่เธอเรียกกล่องสีเวทมนตร์ออกมา

“ต้องเขียนสัญลักษณ์…ต้องสะกดไว้” เธอเร่งใช้มือที่เหลือปัดชั้นต่างๆ ของกล่องสีออก จะหาสีที่ต้องใช้ให้ได้ สิ่งที่เห็นไปกระตุ้นความทรงจำเลวร้ายที่สุด ทำให้เธอตระหนกตกใจ ช่องต่างๆ ของกล่องก็ถูกผลักออกอย่างรวดเร็วจนแทบกระจาย

เธอต้องใช้สีเวทมนตร์ที่มีฤทธิ์มากที่สุด ที่แรงที่สุด คราวนี้เธอต้องปกป้องเขาให้ได้ เขาต้องปลอดภัย…

“วาล!”

เสียงตวาดทำให้เธอชะงัก เพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาใช้มืออีกข้างยึดไหล่ตนไว้

“ดูให้ดีก่อน” เขาบอกเสียงเรียบ เกือบเป็นสั่ง “นี่ไม่ใช่ตะไคร่”

เธอมองเขา ก่อนจะมองมือเขาที่ตัวเองยังจับอยู่ ผ่านไปชั่วขณะจึงสามารถตั้งสติเพ่งพลังได้…จริงของเขา มันไม่ใช่ตะไคร่ มันเป็น…ภาพลวงตา

“นี่ไม่ใช่ตะไคร่” รีกัลพูดซ้ำทั้งยังกุมไหล่เธอไว้ เสียงของเขาอ่อนลง คล้ายกับเพิ่งเข้าใจ “เจ้าตกใจหรือ ข้าขอโทษ แต่นี่ไม่ใช่ตะไคร่จริงๆ ไม่ใช่…มารุสไพรา”

เธอยังคงสั่นนิดๆ …ภาพความทรงจำที่หวนกลับมาเลวร้ายเกินไป  แต่ครั้นวินาทีผ่านพ้น ความตกใจก็ค่อยๆ กลายเป็นความโกรธ…อย่างช่วยไม่ได้ เขารู้นี่ เขารู้ทั้งรู้ว่าตนเป็นอะไร แต่กลับไม่บอกเธออีกแล้ว หลอกเธออีกแล้ว  ปล่อยให้เธออยู่กับความไม่รู้ ความตกใจ ความไม่เข้าใจ

เขาก็เป็นอย่างนี้ทุกที

“ถ้าอย่างนั้น ที่มือนี่คืออะไร” เธอร้องถาม เสียงแรงโดยไม่รู้ตัว “ท่านรู้อยู่แล้วสินะ ถึงได้สะบัดหนีข้า แถมยังบอกได้ด้วยว่าไม่ใช่ตะไคร่ ท่านรู้แต่ไม่บอกข้าอีกแล้ว ท่านเคยสัญญาอะไรไว้”

เขานิ่ง

“ท่านสัญญาว่าจะไม่หลอกข้าอีก…ตลอดไป ท่านพูดอย่างนั้น แต่ก็ไม่เคยรักษาคำพูดสักครั้งเดียว” เธอร้อง “เพราะท่านคิดว่าตัวเองฉลาด ส่วนคนอื่นดีแต่เป็นหมากของท่าน ให้ท่านใช้ หมากจะกลัวหรือตกใจแล้วไง ให้ท่านบงการได้ก็พอแล้ว ให้ท่านทำทุกอย่างได้ตามแผน ให้มีผลลัพธ์ออกมาเป็นใช้ได้”

เขายังคงไม่ตอบ แต่มีบางอย่างในสีหน้าที่เปลี่ยนไป มัน…นิ่งมาก เกือบเหมือนความตาย

หลังจากนั้นเธอน่าจะตะโกนอะไรด้วยความโกรธอีกหลายคำ เธอจำไม่ได้ ความทรงจำเมื่อคราวนั้นยังคงทิ้งบาดแผลรุนแรงเกินไป…เขาที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในสภาพกำลังจะตาย เธอที่ช่วยอะไรไม่ได้  ยิ่งร้องใส่เขา น้ำตาของเธอยิ่งไหล กว่าจะรู้ตัวเธอก็ร้องไห้จริงๆ

“วาล…” เขาเรียกในที่สุด

เขาปลอบคนไม่ค่อยเป็น แต่ก็เอื้อมมือมาแตะไหล่ ครั้นเธอไม่ว่าอะไร เขาจึงลูบเบาๆ ท่าทางเก้กังนิดหน่อย แต่ก็ทำให้เธอค่อยๆ สงบลงได้ เขาเป็นคนมีความสงบในตัว  สุดท้ายแม้จะยังโกรธอยู่บ้าง แต่เธอก็พลอยสงบลง

“สรุปว่าท่านไม่เป็นไรใช่ไหม” เธอยังอดถามไม่ได้ “ไม่เป็นไรจริงๆ นะ”

“ไม่เป็นไร” เขาบอก “และ…อืม…ข้าจะอธิบาย”

เขาบอกว่าที่บ้านเธอมีสายเลือดมิวส์ เขาจะเริ่มตรงนั้น เธอตามทันใช่ไหม ครั้นเธอรับว่าทัน เขาจึงบอกต่อไป…มิวส์เป็นภูตที่เกิดจากจินตนาการอันแรงกล้ามากของใครบางคน หากว่าพลังนั้นแรงพอ ก็จะให้กำเนิดมิวส์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ เป็นเอกเทศจากเจ้าของจินตนาการ

“ข้ารู้” เธอรับ

“และมิวส์จะไม่ตายอย่างแท้จริง สภาพที่ใกล้เคียงความตายที่สุดคือการทิ้งร่างเนื้อ กลับเป็นสิ่งที่ปราศจากรูปลักษณ์ให้จับต้องได้” เขาพูดต่อ “ที่ที่มิวส์ทิ้งกายเนื้อจะเป็นสถานที่พิเศษ เหมือนที่เจ้าเคยเล่าให้ข้าฟัง เมืองบ้านเกิดของเจ้าก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน”

เธอพยักหน้า ยังคงไม่เข้าใจ แต่เมืองนั้นก็เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ

“จากหลักฐานต่างๆ ที่ข้าเห็นมาตลอด ทำให้ข้าคิดว่าเกาะนี้น่าจะเคยมีมิวส์มาทิ้งกายเนื้อไว้ เพราะมันตอบสนองกับพลังจินตนาการได้ดีมาก…โดยเฉพาะของเจ้า” เขาพูดต่อ “ตั้งแต่แรกเลยที่เจ้าตกปลาได้ง่าย มีถ้ำพร้อมอยู่ ที่ในป่าเป็นอย่างที่เจ้าอยากเห็น เกาะปรกติในน่านน้ำนี้ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ ยิ่งพอเจ้าใช้จินตนาการ สภาพของเกาะยิ่งมีการพัฒนา ถึงแม้เจ้าจะว่าเป็นโลกในใจ แต่โลกในใจตามที่เจ้าอธิบายไม่ใช่อย่างนี้ โลกในใจจะมีความชัดเจนอยู่แล้ว…ไม่ใช่พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ที่สำคัญ ถ้าหากมันเป็นโลกของเจ้าหรือข้า เราต้องคุ้นเคยกับมันบ้าง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราคุ้นเคย”

เขายังคงอธิบายต่อไป

“ข้าจึงคิดว่าเราไม่น่าขึ้นฝั่งตามธรรมดา บางทีกระทั่งพายุนั่น…ก็อาจจะไม่ใช่พายุธรรมดาเช่นกัน เราน่าจะถูกดึงมาที่นี่เพราะเจ้ามีสายเลือดนี้มากกว่า ข้าไม่รู้ว่ามิวส์ที่ทิ้งกายเนื้อไว้ที่นี่ต้องการอะไร แต่เป็นไปได้ว่านางจะทิ้งมันโดยไม่ได้มีเจตนาใดๆ เลยนอกจากเพียงอยากจะจากไป ดังนั้นเมื่อไร้เจตนา พลังที่หลงเหลืออยู่ก็เรียกร้องให้เกิดการสร้างสรรค์ มันต้องการคนอย่างเจ้า…ซึ่งไม่ใช่สิ่งหาง่าย เมื่อมีผ่านมาจนได้ มันก็ดึงเจ้ามา”

“แต่ข้าไม่ได้ลงเรือมาทางนี้เป็นครั้งแรกนะ ขามา…”

“ขามาเจ้าไม่ได้ใช้เส้นทางนี้ ข้าให้เขาเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือ จำได้ไหม” เขาบอก “อืม…และถ้ำนี้ก็เช่นกัน เพราะมันดึงดูดเจ้า เจ้าจึงหาพบได้ง่าย ข้าคิดว่าจุดที่มิวส์ทิ้งร่างเนื้อคงอยู่ในถ้ำนี้เอง ลึกเข้าไป ที่นั่นคงเป็นจุดศูนย์กลางของพลัง”

เธอนิ่ง เขาก็นิ่งเหมือนกัน

“ท่านรู้มานานแค่ไหนแล้ว” เธอตัดสินใจถามในที่สุด

“ตั้งแต่แรกๆ ที่ทุกอย่างง่ายเกินไป” เขาว่า “แต่ข้าเริ่มศึกษาเรื่องมิวส์กับสายเลือดมนตร์ดำตั้งแต่รู้จักเจ้า จึงมีข้อมูล”

ก็จริงของเขา เรื่องพวกนี้เพียงศึกษาย่อมรู้ได้ เธอเองก็เคยศึกษามาเหมือนกัน เพียงแต่…เธอนึกแค่เรื่องสนุก ไม่ได้สนใจจะโยงความรู้กับสิ่งรอบกาย จะเรียกว่า ‘ไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้กับความเป็นจริง’ ก็คงพอได้กระมัง

“ท่านน่าจะบอกข้าบ้าง…”

“แต่ข้าคิดว่าเจ้าอยากผจญภัย ถ้าหากบอกแต่ต้น ก็เหมือนบอกเรื่องราวในหนังสือหน้าสุดท้าย” เขาอธิบาย “อีกอย่างหนึ่ง ข้าเองก็อยากผจญภัยกับเจ้า ไม่อยากรีบฟันธงอะไร นอกจากนั้น…”

เขาเงียบไป

“มีอะไรหรือ”

“ไม่…” เขาชะงัก อาจจะนึกได้ว่ากำลังโกหก จึงแก้คำใหม่ “ไม่สิ เอาเป็นว่าตอนนี้ยังไม่มีอะไร เพียงแต่เราควรไปยังจุดศูนย์กลาง  ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะผนึกและเก็บพลังนั้นมาได้ ปล่อยให้พลังเช่นนี้กระจายอย่างเสรีจะเป็นอันตราย”

ก็จริงของเขา ถ้าคนที่มาเยือนเกาะนี้มีสายเลือดแบบเธอ แต่มีจินตนาการชั่วร้าย เกาะก็อาจจะกลายเป็นนรกบนดินได้ทีเดียว

“ส่วนที่มือข้าเป็นอย่างนี้” รีกัลพูดต่อ “ก็เพราะใกล้ศูนย์กลางพลัง มันจึงตอบสนองกับข้าเช่นกัน”

เธอไม่เข้าใจ…ทำไมพลังตอบสนองกับเขาแล้วจึงกลายเป็นราตะไคร่ได้ แต่เขาออกเดินต่อแล้ว เธอจึงเดินตาม รู้สึกแปลก…นั่นรีกัลไม่สบายใจอยู่ใช่ไหม  ปรกติถึงจะเป็นคนหน้าตาย แต่รู้จักกันมาสามเดือนแล้ว เธอก็พออ่านอารมณ์ของเขาได้เหมือนกัน

“ท่านไม่สบายใจหรือ” เธอถาม

“คงอย่างนั้น” เขาตอบ “แต่ถ้าให้ตอบจริงๆ ก็ผสมกันหลายอย่าง”

เขาทำท่าจะวิเคราะห์ต่อว่ามันประกอบด้วยอะไร  แต่เธอก็แค่จับมือของเขาไว้ เธอคิดว่าวิเคราะห์คงช่วยให้เข้าใจ แต่ถ้าจะให้หาย ให้สบายใจ ก็ควรจับมือกัน

One thought on “A Little Journey : Telltale Island (4)

Leave a comment